บริษัท สวัสดีสิงห์โตทองพาณิชย์ จำกัด เริ่มก่อตั้งและจดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมี่อ วันที่11 มีนาคม 2557 ในชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สวัสดีสิงห์โตทองพาณิชย์ และในปี 2561 ได้ทำการจดทะเบียนแปรสภาพ และเพิ่มทุนจดทะเบียน ในนาม บริษัทสวัสดีสิงห์โตทองพาณิชย์ จำกัด บริษัทสวัสดีสิงห์โตทองพาณิชย์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีคุณภาพด้วยการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าตลอดมา
บริษัทของเรามุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ด้วยความ ซื่อสัตย์ และการส่งมอบที่ตรงเวลา ต่อลูกค้าตลอดมา บริษัท สวัสดีสิงห์โตทองพาณิชย์ จำกัด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะเป็นส่วนร่วมในการช่วยเหลือ สังคม โดยการเป็นส่วนหนึ่งในการลด ภาวะโลกร้อนและช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกและ ร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม
จำหน่ายเม็ดพลาสติก
รับประมูลเศษพลาสติก ซึ่งได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย รง.4 ประเภท105
รับจ้างบดล้างพลาสติก
รับซื้อเศษพลาสติก
รับจ้างหลอม
รับจ้างฉีดพลาสติก
DSM Engineering Materials เพิ่งมีประกาศความร่วมมือกับ DiFOLD สตาร์ทอัพที่เน้นความยั่งยืน เพื่อที่จะพฒนาผลิตภัณฑ์ใช้ซ้ำที่พับได้ ทางสตาร์อัพเลือกใช้ Arnitel ® Eco ซึ่งเป็น thermoplastic copolyester ชีวภาพ ของ DSM Engineering Materials เพื่อผลิตเป็นขวดน้ำพับได้ การนำวัสดุ Arnitel ® Eco มาใช้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ DiFOLD ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ เทคโนโลยี Origami Bottle ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ DiFOLD ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะการพับกระดาษของญี่ปุ่น Origami Bottle สามารถถูกพับให้เหลือปริมาตรเพียง 10% ของเดิม เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้ และยังสามารถลด carbon footpring ในการขนส่ง Origami Bottle ถือเป็นทางเลืกที่มีความทนทาน สามารถใช้ซ้ำและรีไซเคิลได้ ซึ่งจะช่วยลดยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกได้ และเมื่อมีการนำ Arnitel ® Eco ของ DSM Engineering Materials มาใช้ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม Arnitel ® Eco เป็น thermoplastic copolyester ชีวภาพ ที่ส่วนหนึ่งได้จากน้ำมันจาก พฟยำหำก ซึ่งทำให้วัสดุดังกล่าวมีการปล่อย CO2 ที่ต่ำ และช่วยลด carbon footprint ได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับ copolyester ที่มีการใช้งานทั่วไป ตัวเลขข้างต้นได้มาจากการทำ life cycle assessment (LCA) ซึ่งคำนึงถึงทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่มา : http://plastic.oie.go.th/ReadArticle.aspx?id=22671
แรงเสียดทาน คืออะไร ? แรงเสียดทาน (Friction) คือ แรงที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผ้สของวัตถุ 2 ชิ้นที่สัมผ้สกัน โดยแรงที่ต้านทานการเคลื่อนที่ของวัตถุจะเกิดขึ้นที่บริเวณผิวของวัตถุและมีทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งแรงเสียดทานนั้นจะส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยแรงเสียดทานสามารถแยกได้เป็นสองอย่าง คือ แรงเสียดทานสถิต (Static Friction) คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุหยุดนิ่งจนถึงวัตถุเริ่มเคลื่อนตัว ซึ่งจะดูที่ค่าสูงสุดที่จะเกิดค่าแรงเสียดทาน และแรงเสียดทานจลน์ (Kinetic Friction) คือแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ ในขณะที่วัตถุได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ทั้งนี้ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. ลักษณะของผิวสัมผัส ถ้าผิวเรียบ เช่น กระเบื้อง กระจก พลาสติก เป็นต้น จะเกิดแรงเสียดทานน้อย เนื่องจากพื้นผิวเรียบมีการเสียดสีระหว่างกันน้อย แต่ถ้าพื้นผิวขรุขระ เช่น พื้นทราย พื้นหญ้า พื้นหินกรวด เป็นต้น จะเกิดแรงเสียดทานมาก 2. น้ำหนักของวัตถุที่กดลงบนพื้นผิว ซึ่งหากน้ำหนักของวัตถุมาก แรงที่กดลงบนพื้นผิวหนึ่งจะมาก ทำให้เพิ่มแรงเสียดทาน 3. ชนิดของผิวสัมผัส เช่น พื้นคอนกรีตกับเหล็ก เหล็กกับพื้นไม้ จะเห็นว่า ผิวสัมผัสแต่ละคู่มีความหยาบ ขรุขระ หรือเรียบลื่นแตกต่างกัน ทำให้แรงเสียดทานไม่เท่ากัน โดยค่าแรงเสียดทานที่ทดสอบได้นั้น เรียกว่า สัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (Coefficient of Friction : COF) คือ อัตราส่วนระหว่างแรงเสียดทานต่อแรงกดตั้งฉากกับผิวสัมผัส โดยปัจจัยที่จะส่งผลต่อค่า COF นั้นก็จะมีตั้งแต่ ค่าแรงที่จะกดลงวัตถุ ซึ่งตามมาตรฐานของแต่ละวัสดุก็จะกำหนดน้ำหนักที่แตกต่างออกกันไป แต่น้ำหนักที่ใช้เป็นหลักนั้นจะเป็น น้ำหนัก (Sled) ที่ 200 กรัม ซึ่งเหมาะกับการทดสอบฟิล์มพลาสติก และกระดาษ ตามมาตรฐาน ASTM D1894 หรือ TAPPI T815 ที่มา : 1. การทดสอบค่าสัมประสิทธิ์ แรงเสียดทาน CHECMICAL HOUSE & LAB INSTRUMENT CO.,LTD. สืบค้น ณ วันที่ 25 เมษายน 2565 2. แรงเสียดทาน (Friction) ฟิสิกส์ ม.ปลาย, ติวมาสเตอร์ สืบค้น ณ วันที่ 25 เมษายน 2565
PA Consulting และ Pulpac บริษัทสัญชาติสวีเดนผู้ถือกรรมสิทธิ์เทคโนโลยี Dry Molded Fiber ได้ร่วมก่อตั้ง Bottle Collective ทาง Bottle Collective จะเป็นผู้ผลิตขวดแบบไฟเบอร์ เพื่อลดการใช้ขวดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งในอุตสากรรมอาหาร เครื่องดื่ม สุขภาพ และ FMCG Bottle Collective ตั้งเป้าที่จะยกระดับกระบวนการผลิตขวดด้วยวิธีการ Dry Molded Fiber สู่ระดับอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นการผลิตท่สามารถทำได้เร็ว มีราคาถูก และสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ เทคโนโลยีการผลิตนี้ถือเป็นทางเลือกแทนที่ขวดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง และสามารถนำไปใช้ได้กับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทาง PA และ Pulpac ได้เริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่สามารถใช้งานได้จริงแล้ว แบรนด์สินค้าต่าง ๆ ก็เริ่มมีการเข้าร่วมกับ Bottle Collective เพื่อจะร่วมกันพัฒนาและยกระดับขวดแบบไฟเบอร์ให้ได้ภายในปี 2025 เทคโนโลยี Dry Molded Fiber อาศัยการใช้เยื่อกระดาษและเซลลูโลสหมุนเวียน เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์คุณภาพดีที่มีราคาถูก เทคโนโลยีดังกล่าวอาศัย CO2 น้อยกว่าการผลิตทั่วไปที่ใช้วิธี Wet Moulding นอกจากนี้ยังแบไม่มีการใช้น้ำเลย ในการผลิตแม่พิมพ์ให้แก่บริษัทที่ผลิตสินค้าให้ผู้บริโภค ขวดแบบไฟเบอร์นี้ สามารถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำดื่ม นม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผม เป็นต้น นอกจากนี้ขวดไฟเบอร์ก็สามารถผลิตออกมาได้หลากหลายรูปร่าง และขนาด และสามารถตกแต่งได้ เพื่อให้ทางแบรนด์ได้แสดงตัวตนได้อย่างเต็มที่ ที่มา : http://plastic.oic.go.th/ReadArticle.aspzx?id=22667
เมื่อเร็ว ๆ นี้ Lotte Chemical กล่าวว่า จะพ้ฒนาโพลีไฮดรอกซีอัลคาโนเอต (PHA) ซึ่งเป็นว้สดุพลาสติกชีวภาพที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งสามารถย่อยสลายในน้ำทะเลได้ 100% โดยมีเป้าหมายที่จะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ภายในปี 2023 แผนกปิโตรเคมีของ Lotte Group กำลังดำเนินการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นในกรุงโซลได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาตร์และไอซีทีตลอดจนมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของเกาหลี PHA ที่ใช้ในว้สดุบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ปัจจุบันผลิตด้วยจุลินทรีย์เท่านั้น การรักษาความปลอดภัยของวัตถุดิบทำได้ยาก ส่งผลให้ผลผลิต PHA ตำ่และราคาสูงขึ้น เนื่องจากจุลินทรีย์ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เช่นการเพาะปลูกและการหมักมาใช้ในการผลิต การผลิต PHA ในเชิงการพาณิชย์โดยใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะช่วยให้การผลิตจำนวนมากด้วยวัตถุดิบปิโตรเคมีและชีวมวลที่หาได้ง่าย Lotte กล่าว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ประกอบกับความต้องการวัสดุพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีการบริโภคเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 2 ล้านตันในปี 2026 จาก 970,000 ตันในปี 2020 Lotte กล่าว โดยอ้างจากการคาดการณ์ของภาคอุตสาหกรรม ที่มา : www.bioplasticsmagzine.com
เครื่องบินโดยสารโดยเฉลี่ยมีสายไฟ 100 ถึง 200 ไมล์ สำหรับทุกอย่างตั้งแต่หน้าต่างที่หรี่แสงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงระบบความบันเทิงในเที่ยวบิน White และเพื่อนร่วมงานของเขาที่สถาบันวิจัยความปลอดภัยด้านพลังงานของมหาวิทยาลัยสวอนซีได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการลดมวลในสายไฟโดยใช้วัสดุนาโนคาร์บอนแทนโลหะผสมทองแดง เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสายไฟแบบใหม่ White และเพื่อนร่วมงานของเขาได้เปรียบเทียบโมเลกุลคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดูดซับและปล่อยออกมาระหว่างการรีไซเคิลพลาสติกกับจำนวนการผลิตลวดทองแดง แม้ว่ากระบวนการรีไซเคิลจะนับคาร์บอนได้สูงกว่าการผลิตลวดทองแดงในอุตสาหกรรม แต่ก็พบว่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมของทองแดงนั้นแย่กว่าเกือบ 10 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันทำให้เกิดน้ำเสียซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทางทะเลและการสูญเสียโอโซน นักวิจัยยังระบุด้วยว่าการใช้ลวดพลาสติกรีไซเคิลจะส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอบไดออกไซด์น้อยกว่าอายุการใช้งานของเครื่องบินพาณิชย์ทั่วไป White สรุปในบทความว่า สายไฟเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยมลพิษของเครื่องบินแต่ละลำได้ 21 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับการประหยัดคาร์บอนไดออกไซด์ 14,574 กิโลตันสำหรับฝงบินเฉลี่ย 694 ลำ
18/8 หมู่ที่ 1 ตำบลโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา
สำนักงาน 038-582387-8, ฝ่ายขาย 098-7896424
จันทร์-เสาร์ 08.00 - 17.00 น.
E-mail : [email protected]
LINE : @singtothong111